ฟิลเลอร์ Juvederm ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการเสริมความงามทั่วโลก Juvederm มีหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างตรงจุด เช่น เติมเต็มร่องลึก เพิ่มวอลลุ่มให้ใบหน้า และฟื้นฟูคุณภาพผิว แต่ละรุ่นเหมาะสำหรับตำแหน่งที่แตกต่างกัน ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับฟิลเลอร์ Juvederm แต่ละรุ่น พร้อมตำแหน่งที่เหมาะสมในการฉีด เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
ฟิลเลอร์ Juvederm คืออะไร?
ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา มีการใช้ 2 เทคโนโลยีการผลิตฟิลเลอร์ เด่นในเรื่องของการเติมเต็ม และยกกระชับปรับรูปหน้า ซึ่ง Juvederm คือฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) คุณภาพสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดยบริษัท Allergan ผู้นำด้านเวชสำอางและนวัตกรรมความงามระดับโลก ฟิลเลอร์ Juvederm จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid Dermal Filler ซึ่งสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติในร่างกาย มอบความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
Juvederm ผ่านการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Vycross™ ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวและการยึดเกาะของฟิลเลอร์ในชั้นผิว อีกทั้งยังผ่านการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกาและ อย. ประเทศไทย และในปัจจุบันมีด้วยกันทั้งหมด 7 รุ่นที่ผ่านอย.ไทย ทำให้ Juvederm เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเสริมความงามไทยและทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก และปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
Juvederm ดีอย่างไร?
Juvederm เป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จุดเด่นสำคัญของ Juvederm คือการออกแบบให้มีส่วนผสมของ ยาชา Lidocaine ในตัว ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายและลดความเจ็บปวดขณะฉีด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กลัวเข็มหรือกังวลเกี่ยวกับความเจ็บ จึงช่วยให้กระบวนการฉีดเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Juvederm คือกระบวนการผลิตด้วย 2 เทคโนโลยีล้ำสมัย ได้แก่
- Hylacross Technology ให้เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียน และช่วยเติมเต็มร่องลึกหรือปรับรูปหน้าให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- Vycross Technology ช่วยเพิ่มความคงตัวของฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-24 เดือน และช่วยให้ฟิลเลอร์เกาะชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Juvederm มีคุณสมบัติที่ช่วยเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้หลากหลาย เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก ทั้งยังสามารถเติมเต็มในชั้นผิวต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ Juvederm ยังขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย เพราะผ่านการรับรองจากหน่วยงานระดับสากล เช่น FDA สหรัฐอเมริกาและอย. ไทย จึงมั่นใจได้ในประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
Juvederm มีกี่รุ่น ?
ฟิลเลอร์ Juvederm ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 รุ่น แต่ละรุ่นได้รับการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาผิวและปรับรูปหน้าในตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด โดยมีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกันดังนี้
- Juvederm Ultra XC เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และเพิ่มวอลลุ่มริมฝีปาก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อวบอิ่ม และช่วยปรับปรุงความเรียบเนียนของผิว
- Juvederm Ultra Plus XC มีเนื้อฟิลเลอร์เจลที่หนาแน่น เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้มลึก และปรับโครงหน้า เช่น กรอบหน้าและคาง ให้ใบหน้าดูคมชัดและคงตัวมากขึ้น
- Juvederm Volux เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งแน่นที่สุด ออกแบบมาเฉพาะสำหรับปรับรูปหน้า เช่น การเสริมกรามและคาง เพื่อสร้างกรอบหน้าที่ชัดเจนและยกกระชับอย่างมีมิติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าให้โดดเด่น
- Juvederm Voluma มีเนื้อเจลหนาแน่น เหมาะสำหรับการเติมเต็มโหนกแก้มและปรับรูปหน้า ช่วยเพิ่มมิติให้ใบหน้าและแก้ไขปัญหาแก้มตอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความเป็นธรรมชาติสูง
- Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง เหมาะสำหรับการแก้ไขริ้วรอยระดับกลางถึงลึก เช่น ร่องแก้ม และเพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปาก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- Juvederm Vobella มีเนื้อฟิลเลอร์เจลบางเบา เหมาะสำหรับการเติมเต็มผิวชั้นตื้น เช่น ร่องใต้ตา หรือริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน อิ่มน้ำ และมีความสดใส
- Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อบางเบาที่สุด ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและความเรียบเนียนให้กับผิวชั้นตื้น เช่น ใต้ตา ผิวหน้า และลำคอ ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและอ่อนเยาว์
- Juvederm Vobella เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลเนียนนุ่ม โมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยให้สามารถกระจายตัวได้ดีโดยไม่เป็นก้อน อีกทั้งยังกลมกลืนกับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมคงคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Juvederm แต่ละรุ่นอยู่ได้นานแค่ไหน ฉีดตรงไหนได้บ้าง ?
- Juvederm Ultra XC เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ เช่น ริ้วรอยรอบดวงตาและปาก หรือการเติมริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มและมีมิติ ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความนุ่มและยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถกลืนเข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
- Juvederm Ultra Plus XC เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือบริเวณที่ต้องการการปรับโครงสร้างผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นปานกลางและคงตัว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
- Juvederm Volux เหมาะสำหรับการปรับกรอบหน้า เช่น บริเวณกราม ขากรรไกร และคาง ช่วยเพิ่มความคมชัดและปรับใบหน้าให้ได้สัดส่วนอย่างชัดเจน ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน
- Juvederm Voluma เหมาะสำหรับเติมเต็มบริเวณที่ต้องการวอลลุ่ม เช่น แก้มตอบ ขมับ หรือโหนกแก้ม ช่วยสร้างมิติและความอิ่มฟูให้ใบหน้า ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน
- Juvederm Volift เหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยลึกระดับปานกลาง เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือปรับรูปหน้าส่วนกลาง ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความนิ่มและยืดหยุ่นสูง ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
- Juvederm Vobella เหมาะสำหรับการเติมเต็มบริเวณที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น ใต้ตา ร่องแก้มตื้น หรือริมฝีปาก ด้วยเนื้อฟิลเลอร์โมเลกุลเล็กที่ให้ผลลัพธ์เรียบเนียนและกลืนเข้ากับผิวได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volite เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวชั้นตื้น เช่น ใต้ตา ลำคอ หลังมือ หรือปรับคุณภาพผิวให้ดูชุ่มชื้นและสุขภาพดี ด้วยเนื้อฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำสูง ทำให้ผิวดูฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 9 เดือน
ฟิลเลอร์ Juvederm ต่างจากฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นยังไง ?
เมื่อพูดถึงฟิลเลอร์ Juvederm หลายคนอาจสงสัยว่ามีความแตกต่างหรือจุดเด่นที่เหนือกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นอย่างไร บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบฟิลเลอร์ Juvederm กับฟิลเลอร์แบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ ในตารางเพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ยี่ห้อ |
เนื้อฟิลเลอร์ | ข้อดี |
ข้อเสีย |
Juvederm | เนื้อเจลนุ่ม ยืดหยุ่นสูง ผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross และ Hylacross | มีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ลดความเจ็บระหว่างฉีด เนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียน คงผลลัพธ์ยาวนาน (12-24 เดือน) | ราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นในตลาด |
Belotero Revive | เนื้อเจลละเอียด เบลอผิวชั้นตื้น | เติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูคุณภาพผิว เหมาะสำหรับงานผิวชั้นตื้น ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ดี | ไม่เหมาะสำหรับการเติมร่องลึกหรือปรับโครงหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-9 เดือน |
Restylane | เนื้อฟิลเลอร์หลากหลายความหนาแน่น ผลิตด้วย NASHA™ Technology | มีหลายรุ่น ครอบคลุมทุกจุดฉีดในร่างกาย เนื้อฟิลเลอร์ยืดหยุ่นเหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า | บางรุ่นอาจมีผลลัพธ์อยู่ไม่นานเมื่อเทียบกับ Juvederm |
Neuramis | เนื้อเจลเนียนละเอียด ผลิตด้วย SHAPE™ Technology | ราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื้อฟิลเลอร์เนียน ปั้นทรงง่าย | ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า (6-12 เดือน) และอาจมีความคงตัวต่ำกว่าแบรนด์พรีเมียม |
Definisse Filler | เนื้อเจลแน่น คงรูปดี | เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า เติมร่องลึกและเสริมความคมชัด | ความหลากหลายของรุ่นน้อย และบางรุ่นอาจไม่เหมาะสำหรับงานผิวตื้น |
Revolax | เนื้อฟิลเลอร์แน่นปานกลาง เกลี่ยง่าย | ราคาย่อมเยา ใช้ได้หลากหลายจุด เหมาะสำหรับการแก้ไขริ้วรอยและร่องลึก | ความคงทนต่ำกว่าแบรนด์พรีเมียม อยู่ได้ 6-12 เดือน |
Juvederm มีจุดเด่นที่เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย (Vycross และ Hylacross) เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียนและคงตัวสูง ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน เหมาะสำหรับการปรับรูปหน้า เติมร่องลึก และฟื้นฟูคุณภาพผิวแบบครบวงจร แม้ว่าราคาจะสูงกว่าแบรนด์อื่น ๆ แต่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหาฟิลเลอร์คุณภาพสูงและปลอดภัย
ฟิลเลอร์จูวีเดิม ราคาเท่าไหร่ ?
ฟิลเลอร์ Juvederm ถือเป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย สำหรับที่ TBL Clinic เราให้บริการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้
ราคาฟิลเลอร์ Juvederm ที่ TBL Clinic (ต่อ 1 CC)
- Juvederm Ultra XC เริ่มต้นที่ 13,000 บาท เหมาะสำหรับเติมริมฝีปากและร่องลึก
- Juvederm Ultra Plus XC เริ่มต้นที่ 14,000 บาท ใช้เติมร่องลึกและยกกระชับใบหน้า
- Juvederm Volux เริ่มต้นที่ 18,000 บาท เหมาะสำหรับปรับแนวกรามและคาง
- Juvederm Voluma เริ่มต้นที่ 17,000 บาท ช่วยยกกระชับโหนกแก้มและเติมใบหน้าให้มีมิติ
- Juvederm Volift เริ่มต้นที่ 15,000 บาท เน้นเติมร่องแก้มและปรับรูปหน้า
- Juvederm Vobella เริ่มต้นที่ 14,000 บาท สำหรับริมฝีปากและรอยย่นเล็ก ๆ
- Juvederm Volite เริ่มต้นที่ 12,000 บาท เน้นฟื้นฟูผิว เพิ่มความชุ่มชื้น
ราคานี้รวมบริการให้คำปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการดูแลหลังการฉีดอย่างครบครัน ทั้งนี้ ควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ