การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้า เติมเต็มริ้วรอย และเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีด ตั้งแต่การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ประเมินปัญหาผิว เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม และปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนฉีดอย่างถูกต้อง ในบทความนี้หมอจะมาอธิบายรายละเอียดสำคัญที่ควรรู้ก่อนทำ เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกขั้นตอนและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
อยากฉีดฟิลเลอร์ต้องเริ่มยังไง?
สำหรับผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ขั้นตอนแรกคือการทำความเข้าใจว่าฟิลเลอร์คืออะไร และสามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เช่น เติมเต็มริ้วรอย เสริมโครงหน้า หรือแก้ปัญหาผิวที่ขาดวอลลุ่ม ต่อมาคือการเลือก คลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยควรตรวจสอบว่าคลินิกได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้ ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. เท่านั้น
นอกจากนี้ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์โครงหน้า ประเมินปัญหา และแนะนำปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม สุดท้ายคือ การเตรียมตัวก่อนฉีด เช่น งดแอลกอฮอล์ ยาบางชนิด และดูแลสุขภาพผิวให้พร้อม เมื่อศึกษาข้อมูลครบถ้วนและเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน การฉีดฟิลเลอร์จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติครับ
วิธีเลือกคลีนิคก่อนฉีดฟิลเลอร์
การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
- แพทย์ที่มีประสบการณ์และใบประกอบวิชาชีพ เลือกคลินิกที่มี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิลเลอร์ โดยเฉพาะ สามารถตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพผ่านแพลตฟอร์มของแพทยสภา และควรมีผลงานรีวิวที่น่าเชื่อถือ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. ควรเลือกคลินิกที่ใช้ Hyaluronic Acid (HA) Filler แท้เท่านั้น สามารถตรวจสอบกล่องผลิตภัณฑ์และ Serial Number ได้ เพื่อป้องกันการใช้ฟิลเลอร์ปลอมที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
- คลินิกมีมาตรฐานและเครื่องมือปลอดเชื้อ สถานที่ต้องสะอาด ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และปฏิบัติตามมาตรฐาน Sterile Technique เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- มีการให้คำปรึกษาก่อนฉีด แพทย์ควรให้คำแนะนำและวิเคราะห์โครงหน้า ก่อนตัดสินใจฉีด ไม่ใช่การเร่งขายโปรโมชัน โดยต้องมีการอธิบายถึงชนิดของฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีด และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
- มีบริการติดตามผลหลังทำ คลินิกที่ได้มาตรฐานจะมีการ นัดตรวจติดตามผล และพร้อมให้คำแนะนำการดูแลหลังฉีด หากเกิดอาการผิดปกติ ควรสามารถติดต่อแพทย์ได้ทันที
เลือกเทคนิคและหมอในการฉีดฟิลเลอร์
การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่มีมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญต่อไปนี้
- ✅ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ต้องใช้ ความแม่นยำสูง เนื่องจากฉีดในชั้นผิวที่แตกต่างกันในแต่ละจุดของใบหน้า แพทย์ที่มีประสบการณ์ ควรมีความเข้าใจใน กายวิภาคของใบหน้า (Facial Anatomy) และมีเทคนิคการฉีดที่แม่นยำ ลดความเสี่ยงต่อการอุดตันของเส้นเลือดและภาวะแทรกซ้อน
- ✅ เทคนิคการฉีดที่เหมาะสมกับแต่ละจุด ฟิลเลอร์ในแต่ละบริเวณมีเทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน เช่น
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องฉีดในชั้นที่ถูกต้อง เพื่อลดโอกาสเกิดก้อน หรือฟิลเลอร์เป็นคลื่น
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม ใช้เทคนิคฉีดพยุงโครงสร้างผิว ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น
- ฟิลเลอร์คาง ต้องฉีดให้สมดุลกับโครงหน้า เพื่อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม
- ✅ รีวิวและผลงานที่ผ่านมา คลินิกที่ดีควรมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง โดยสามารถดูได้จากภาพเปรียบเทียบ ก่อน-หลัง ฉีด หรือรีวิวจากผู้ใช้จริงที่มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
- ✅ การให้คำปรึกษาก่อนทำหัตถการ แพทย์ควรวิเคราะห์ โครงสร้างใบหน้า และแนะนำ ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม โดยไม่ยัดเยียดขายคอร์สเกินความจำเป็น รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด
- ✅ ใบประกอบวิชาชีพและมาตรฐานคลินิก ตรวจสอบว่าแพทย์ที่ฉีดมี ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และคลินิกได้รับ ใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัย
ซึ่งสำหรับ TBL Clinic ถือว่าเป็นคลินิกเสริมความงาม ที่พร้อมให้บริการทางด้านหัตถการยอดฮิตอย่างการ ฉีดฟิลเลอร์ ด้วยคุณหมอที่มากประสบการณ์ และเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ทุกชิ้น คนไข้สามารถนำกล่องกลับบ้านได้เลย หากคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์สามารถติดต่อหมอมาได้โดยตรงเลยนะครับ หมอให้คำปรึกษาเองทุกเคสแน่นอนครับเพียงแค่ คลิกที่นี่ เพื่อสอบถามได้เลยครับ
เลือกยี่ห้อและชนิดของฟิลเลอร์
การเลือกยี่ห้อและชนิดของฟิลเลอร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย ของการฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับจุดที่ฉีด มีมาตรฐานความปลอดภัย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.)
หลักการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
- ผ่านการรับรองจากองค์กรสากล เช่น US FDA, TH FDA และ CE Mark เพื่อรับประกันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์
- เลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับจุดที่ฉีด ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ระดับความยืดหยุ่น (Elasticity) และความคงตัว (Cohesiveness) ที่เหมาะกับแต่ละบริเวณ
- ความคงทนของฟิลเลอร์ ควรเลือกตามอายุการใช้งานของฟิลเลอร์ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ได้ 8-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์
- เลือกยี่ห้อที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้า เพื่อช่วยลดการบวมช้ำและทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดี
แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยม
- Juvederm (USA) มีเทคโนโลยี Vycross™ ช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน มีความคงตัวสูง เหมาะกับการเติมเต็มใบหน้า เช่น Voluma (เหมาะกับแก้มและคาง), Volift (เหมาะกับร่องแก้ม)
- Restylane (Sweden) ใช้เทคโนโลยี NASHA™ เนื้อฟิลเลอร์แน่นและยืดหยุ่นดี เช่น Lyft (เหมาะกับแก้มและขมับ), Defyne (เหมาะกับร่องลึก)
- Belotero (Germany) มี เทคโนโลยี CPM™ ทำให้กระจายตัวดี เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาและแก้ม เช่น Belotero Volume (เหมาะกับการเติมเต็มใบหน้า)
- Neuramis (Korea) เทคโนโลยี SHAPE™ ช่วยให้เนื้อสัมผัสแน่น ไม่ไหลย้อย เช่น Neuramis Volume (เหมาะกับแก้มและขมับ)
- Revolax (Korea) ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลแน่น คงรูปดี เช่น Revolax Sub-Q (เหมาะกับการเติมเต็มโครงหน้า)
เลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับแต่ละจุด
🔹 ใต้ตา ควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เช่น Belotero Balance, Juvederm Volbella
🔹 แก้มและขมับ ควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีโครงสร้างแน่น เช่น Juvederm Voluma, Restylane Lyft
🔹 ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นดี เช่น Restylane Defyne, Juvederm Volift
🔹 คางและขากรรไกร ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง เช่น Juvederm Volux, Restylane Lyft
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 1 อาทิตย์เตรียมตัวยังไง ?
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนฉีด ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อให้ร่างกายและสภาพผิวพร้อมที่สุด
7 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ สิ่งที่ควรปฏิบัติ
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- หลีกเลี่ยง ยาแอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen) และยากลุ่ม NSAIDs อื่น ๆ
- หลีกเลี่ยงยาลดน้ำหนักและยาสมุนไพรที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เช่น โสม, แปะก๊วย, น้ำมันปลา (Fish Oil), วิตามินอี
- หากจำเป็นต้องใช้ยาใด ๆ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
- แอลกอฮอล์ส่งผลให้เส้นเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำและบวมหลังฉีด
- บุหรี่มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้กระบวนการฟื้นตัวของผิวช้าลง
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น
- หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดอาจทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- การฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) ต้องอาศัยความชุ่มชื้นของผิว ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดีหลังฉีด
- งดการทำหัตถการที่ใช้ความร้อนสูงและเลเซอร์
- หลีกเลี่ยง การทำเลเซอร์, RF (Radio Frequency), ไฮฟู (HIFU), โบท็อกซ์, สครับผิว หรือทรีตเมนต์ที่อาจทำให้ผิวอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการ นวดหน้าหรือทำทรีตเมนต์รุนแรง ที่อาจทำให้เกิดอาการบวมช้ำ
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับบริเวณที่ต้องการฉีด
- หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ภูมิแพ้ หรือแพ้ยาชา ควรแจ้งแพทย์ก่อน
- ควรให้แพทย์วิเคราะห์โครงหน้าและเลือกประเภทฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
- งดอาหารที่มีโซเดียมและน้ำตาลสูง
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด น้ำตาลสูง หรืออาหารแปรรูป เพราะอาจทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำ
1-2 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ ข้อควรระวังเพิ่มเติม
- ล้างหน้าให้สะอาด และงดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับบริกา
- งดดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะอาจกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้มีโอกาสเกิดรอยช้ำ
- สังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการป่วย เช่น เป็นหวัด หรือมีไข้ ควรเลื่อนวันฉีดออกไปก่อน
ยาและวิตตามินที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของ อาการบวม ช้ำ และเลือดออกใต้ผิวหนัง หนึ่งในข้อปฏิบัติที่สำคัญคือ การงดใช้ยาและวิตามินบางชนิด ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดและการไหลเวียนโลหิต อย่างน้อย 3-7 วันก่อนฉีด เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการทำหัตถการ
ยาที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์
ยาเหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้นหรือมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิด รอยช้ำและบวมมากขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs)
- แอสไพริน (Aspirin)
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เช่น Brufen, Advil, Motrin
- นาพรอกเซน (Naproxen) เช่น Aleve, Naprosyn
- ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) เช่น Voltaren
- เหตุผล: ยากลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยช้ำและบวมมากขึ้น
- ยาแก้ปวดกลุ่มอื่น ๆ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants) เช่น Orphenadrine, Methocarbamol
- ยาแก้ปวดกลุ่ม COX-2 inhibitors เช่น Celecoxib (Celebrex)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants & Antiplatelets)
- วาร์ฟาริน (Warfarin)
- เฮพาริน (Heparin)
- คลอพิโดเกรล (Clopidogrel – Plavix)
- เหตุผล: ยาเหล่านี้ลดการแข็งตัวของเลือด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำและเลือดออกมากขึ้น
- ยาขยายหลอดเลือด
- ไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin)
- แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium Channel Blockers) เช่น Amlodipine, Nifedipine
*เหตุผล มีผลทำให้เส้นเลือดขยายตัวและไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมและรอยช้ำที่บริเวณฉีด*
วิตามินและอาหารเสริมที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์
อาหารเสริมและวิตามินบางชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เกิดรอยช้ำและบวมง่ายขึ้นหลังฉีด ควร งดอย่างน้อย 3-7 วันก่อนทำหัตถการ
- น้ำมันปลา (Fish Oil, Omega-3, Krill Oil, Cod Liver Oil) เพราะว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 มีคุณสมบัติช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- วิตามินอี (Vitamin E) เนื่องจากมีฤทธิ์ลดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยช้ำและบวมหลังฉีดฟิลเลอร์
- แปะก๊วย (Ginkgo Biloba) เพราะว่ามีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดและป้องกันการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
- โสม (Ginseng) เนื่องจากโสมนั้นสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต อาจทำให้เกิดอาการบวมและรอยช้ำง่ายขึ้น
- ขิง (Ginger) และกระเทียม (Garlic) ในปริมาณสูง เพราะว่ามีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำหลังฉีด
- วิตามินซีในปริมาณสูง (Vitamin C Overdose) เพราะว่าวิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน แต่หากได้รับมากเกินไป อาจกระตุ้นให้หลอดเลือดเปราะบางขึ้น
- ชาเขียว (Green Tea) และสารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและการไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- หากต้องใช้ยาใด ๆ ที่ระบุข้างต้นเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา
- หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิตามินหรืออาหารเสริมที่รับประทานอยู่ แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ
ทำไมฉีดฟิลเลอร์ต้องกินน้ำเยอะๆ
หลังการฉีดฟิลเลอร์ การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นคือ การอุ้มน้ำและดึงความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว การดื่มน้ำมากพอจะช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดีขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
💧 เหตุผลที่ต้องดื่มน้ำเยอะๆ หลังฉีดฟิลเลอร์
- ✅ ช่วยให้ฟิลเลอร์ขยายตัวเต็มที่และอยู่ตัวเร็วขึ้น Hyaluronic Acid สามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง หากร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ฟิลเลอร์จะกระจายตัวได้ดีและทำให้ผิวดูอิ่มฟู
- ✅ ลดอาการบวมและช่วยให้ฟิลเลอร์ติดแน่นกับผิว การดื่มน้ำช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ลดการอักเสบและบวม ทำให้ฟิลเลอร์ติดแน่นกับเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
- ✅ ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น หากร่างกายขาดน้ำ ฟิลเลอร์อาจเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ดังนั้น การดื่มน้ำช่วย คงความชุ่มชื้นและยืดอายุของฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ไม่แปะยาชาได้ไหม
การฉีดฟิลเลอร์ สามารถทำได้ทั้งแบบแปะยาชาและไม่แปะยาชา โดยขึ้นอยู่กับ ความต้องการของคนไข้และเทคนิคของแพทย์ ซึ่งแต่ละแบบมีข้อแตกต่างที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
- กรณีที่ไม่แปะยาชา หัตถการสามารถทำได้เลย ลดเวลาในการเตรียมตัว และบางคนที่ไม่รู้สึกเจ็บมากอาจเลือกวิธีนี้ได้
อย่างไรก็ตาม อาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวระหว่างฉีด เนื่องจากฟิลเลอร์บางยี่ห้อมีความหนืดสูง อาจทำให้รู้สึกแน่นหรือตึงขณะฉีด - กรณีที่แปะยาชา ช่วยให้ ลดความรู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ริมฝีปาก ใต้ตา หรือหน้าผาก เหมาะสำหรับ ผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บหรือมีความไวต่อความรู้สึก การแปะยาชาก่อนฉีดประมาณ 30-45 นาทีจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น
สรุปแล้วว่าหากคนไข้ ทนความรู้สึกเจ็บได้ดี และต้องการประหยัดเวลา อาจเลือกฉีดโดยไม่แปะยาชา แต่หากกังวลเรื่องความเจ็บ ควรเลือก แปะยาชาก่อนเพื่อความสบายใจ และลดอาการไม่พึงประสงค์ระหว่างฉีดครับ
กิจกรรมที่ควรงด 24 ชั่วโมง ก่อนฉีดฟิลเลอร์ คืออะไรบ้าง ?
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง ควรงดกิจกรรมบางอย่างที่อาจส่งผลต่อ ผลลัพธ์ของการฉีด และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง โดยกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
- การออกกำลังกายหนัก การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวมช้ำหลังฉีด
- การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ทำให้ หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำและอาการบวมมากขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
- การใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี และน้ำมันปลา ควรงดเพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
- การทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ผิวหน้า การใช้ ความร้อน หรือพลังงานสูงบนผิวหน้า อาจกระตุ้นการอักเสบและทำให้ผิวระคายเคืองก่อนฉีด
- การนวดหน้า หรือกดจุดแรง ๆ อาจทำให้เนื้อเยื่อบอบบางหรือมีการระคายเคืองที่อาจส่งผลต่อการฉีดฟิลเลอร์