ฟิลเลอร์ คืออะไร? สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด

ฟิลเลอร์

หัวข้อ

การฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีการรักษาริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ และมีการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ฟิลเลอร์จึงได้กลายเป็นหนึ่งในหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเติมเต็มและปรับรูปทรงใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาร่องลึก เติมความอิ่มเอิบ และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหตุผลที่ฟิลเลอร์ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงเพราะผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แต่ยังสามารถปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างยืดหยุ่น สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีดูแลตัวเอง ฟิลเลอร์อาจเป็นคำตอบที่เหมาะสมในการเพิ่มความมั่นใจและเสริมความสวยงามอย่างปลอดภัย

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์คืออะไร?

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มที่ถูกออกแบบมาเพื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนังหรือใต้ชั้นผิวเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงโครงสร้างใบหน้า ฟิลเลอร์ในบริบทของความงามมักทำจาก Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้ตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

การฉีดฟิลเลอร์มีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับ และใต้ตา รวมถึงช่วยปรับรูปทรงของใบหน้าให้สมดุล เช่น การเพิ่มวอลลุ่มริมฝีปาก การเสริมคาง หรือการปรับโครงหน้าส่วนต่าง ๆ ให้ดูอ่อนเยาว์ ฟิลเลอร์ไม่เพียงตอบโจทย์ปัญหาผิวพรรณ แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจด้วยผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ด้วยความสะดวกและความปลอดภัย ฟิลเลอร์จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมในวงการความงามสำหรับผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และยังสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

ฟิลเลอร์ที่ใช้ในงานเสริมความงามสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1. Temporary Filler (ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว) 2. Semi Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร) 3. Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบถาวร) ตามระยะเวลาการคงอยู่และคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ ดังนี้

  1. Temporary Filler (ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว) ฟิลเลอร์ชนิดนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากใช้สารที่สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติ เช่น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดการตกค้างในร่างกาย Temporary Filler มีอายุการใช้งานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หรือการเพิ่มวอลลุ่มบริเวณริมฝีปาก ข้อดีคือสามารถปรับแต่งและฉีดสลายได้ง่ายหากต้องการแก้ไข
  2. Semi Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร) ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) หรือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) มีความคงทนกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว โดยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นไป เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึก หรือการฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรช่วยเพิ่มความกระชับและยกกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการฉีด เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขหรือสลายได้ง่ายเหมือนฟิลเลอร์แบบชั่วคราว
  3. Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบถาวร) ฟิลเลอร์ชนิดนี้ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น Silicone หรือ Polymethylmethacrylate (PMMA) ซึ่งไม่สามารถสลายได้เองในร่างกาย Permanent Filler มีความคงทนถาวรหลังการฉีด แต่ในปัจจุบันการใช้ฟิลเลอร์แบบถาวรเริ่มลดลง เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเกิดพังผืดหรือการอักเสบที่บริเวณฉีด การแก้ไขในกรณีที่ไม่พอใจผลลัพธ์อาจต้องอาศัยการผ่าตัด เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะจุดที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวโดยไม่ต้องฉีดซ้ำ

ฟิลเลอร์แต่ละประเภทใช้ในส่วนไหนของร่างกายบ้าง?

ฟิลเลอร์แต่ละประเภทได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและความเหมาะสมของเนื้อฟิลเลอร์ โดยสามารถแบ่งการใช้งานได้ดังนี้

1. Temporary Filler (Hyaluronic Acid – HA) Temporary Filler หรือฟิลเลอร์แบบชั่วคราว นิยมใช้ในบริเวณที่ต้องการความยืดหยุ่นและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น

  • ร่องแก้ม เติมเต็ม ร่องลึก ลดความชัดของริ้วรอย
  • ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ลดความหมองคล้ำ
  • ริมฝีปาก เพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่ม
  • ขมับ เติมเต็มให้รูปหน้าได้สมดุล
  • คาง ปรับทรงคางให้ดูเรียวและได้รูป ฟิลเลอร์ชนิดนี้เหมาะสำหรับการปรับรูปทรงที่ต้องการความแม่นยำและสามารถแก้ไขได้ง่าย

2. Collagen-stimulating Fillers ฟิลเลอร์ชนิดนี้ เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) และ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงเหมาะสำหรับ

  • กรอบหน้า ฟื้นฟูและยกกระชับ
  • แก้ม เพิ่มวอลลุ่มและลดความหย่อนคล้อย
  • ลำคอและหลังมือ ฟื้นฟูผิวที่บางและเริ่มแสดงอายุ Collagen-stimulating Fillers ช่วยสร้างผลลัพธ์ระยะยาวในการฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว

3. Permanent Filler  เช่น Silicone หรือ Polymethylmethacrylate (PMMA) นิยมใช้สำหรับบริเวณที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เช่น

  • จมูก เติมเต็มและปรับทรงจมูก
  • คาง สร้างความคงทนในรูปทรงที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ชนิดนี้เริ่มได้รับความนิยมน้อยลง เนื่องจากความเสี่ยงในระยะยาว

ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด การเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้รับบริการและคำแนะนำจากแพทย์ การพิจารณาความปลอดภัยและผลลัพธ์ระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ความสวยงามที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

ฟิลเลอร์ ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยเติมเต็มและปรับปรุงความงามบนใบหน้าได้หลายจุด แต่ละบริเวณมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่ช่วยแก้ไขปัญหาและเสริมความงามได้อย่างปลอดภัยเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้

  1. ใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาเบ้าตาลึก ร่องน้ำตา และถุงใต้ตา ให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาตาคล้ำหรือตาลึกจนดูอ่อนล้า
  2. ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกบริเวณร่องแก้มและร่องน้ำหมาก ซึ่งเป็นจุดที่มักแสดงถึงความเสื่อมโทรมของผิวตามวัย การฉีดในจุดนี้ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  3. ขมับ  บริเวณขมับที่ตอบหรือเว้าลึกสามารถเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าดูสมดุลและเต็มอิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีใบหน้าแคบหรือดูอิดโรย
  4. ริมฝีปาก ฟิลเลอร์ริมฝีปากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่ม หรือปรับรูปทรงให้ดูสวยสมดุล นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณริมฝีปากได้อีกด้วย
  5. คาง ฟิลเลอร์คางเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการปรับทรงคางให้ได้รูปโดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดในจุดนี้ช่วยเสริมกรอบหน้าให้ดูเรียวขึ้นและมีมิติ
  6. สันจมูก ฟิลเลอร์เนื้อแข็งใช้เติมสันจมูกให้ดูโด่งขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากทำศัลยกรรมแต่ต้องการปรับโครงจมูกเล็กน้อย
  7. ตีนกา บริเวณตีนกาที่เกิดรอยลึกจากการแสดงอารมณ์ สามารถเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์เพื่อทำให้รอยลึกดูตื้นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นทันที

อ่านเพิ่มเติมที่บทความ : ฟิลเลอร์ฉีดจุดไหนได้บ้าง

ในการฉีดแต่ละจุดต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ?

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดแต่ละจุดนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาและลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการ ดังนี้

ปริมาณฟิลเลอร์เฉลี่ยในแต่ละจุด

  1. ใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC เพื่อเติมเต็มร่องลึกหรือแก้ปัญหาเบ้าตาลึก และช่วยให้ดวงตาดูสดใสมากขึ้น
  2. ร่องแก้ม ปริมาณที่ใช้เฉลี่ย 1 CC ต่อข้าง เหมาะสำหรับการลดร่องลึกและปรับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  3. ขมับ การฉีดฟิลเลอร์ขมับมักใช้ประมาณ 1-2 CC ต่อข้าง เพื่อเติมเต็มและสร้างสมดุลของรูปหน้า
  4. ริมฝีปาก การเพิ่มความอวบอิ่มหรือปรับรูปทรงริมฝีปาก ใช้ฟิลเลอร์เฉลี่ย 1 CC ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้รับบริการ
  5. คาง สำหรับการปรับรูปทรงคางและเพิ่มความเรียวให้ใบหน้า มักใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC
  6. สันจมูก การใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งในการเติมสันจมูก จะใช้ประมาณ 0.5-1 CC เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ 1 CC เหมาะกับใคร?

ในกรณีที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อย เช่น ร่องลึกไม่มาก หรือเติมเต็มบางจุด ฟิลเลอร์ 1 CC เป็นปริมาณเริ่มต้นที่เพียงพอสำหรับการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่ในกรณีที่มีปัญหาร่องลึก หรือมีบริเวณที่ยุบตัวมาก อาจจำเป็นต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่า 1 CC เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม

คำแนะนำเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและดูเป็นธรรมชาติที่สุด

การฉีดฟิลเลอร์ทำอะไรได้บ้าง?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในหัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลรวดเร็ว โดยฟิลเลอร์สามารถทำได้หลากหลาย ดังนี้

  1. เติมเต็มร่องลึก ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับแก้ปัญหาร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือเบ้าตาลึก การฉีดฟิลเลอร์ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์ และลดความเหนื่อยล้าบนใบหน้า
  2. ปรับรูปหน้า สำหรับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลใบหน้า ฟิลเลอร์สามารถใช้เติมเต็มขมับ คาง หรือสันจมูก เพื่อสร้างมิติให้ใบหน้าดูสมส่วนและคมชัดขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรม
  3. เสริมความอ่อนเยาว์ ฟิลเลอร์ช่วยเพิ่มความกระชับและยืดหยุ่นให้ผิว เช่น เติมเต็มบริเวณที่ผิวหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยเล็กๆ ช่วยคืนความสดใสและความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้า
  4. เติมริมฝีปากให้อวบอิ่ม ฟิลเลอร์สามารถใช้เพื่อปรับทรงริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม หรือแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง ทำให้รอยยิ้มดูโดดเด่นและเพิ่มความมั่นใจ
  5. ยกกระชับใบหน้า ฟิลเลอร์ช่วยยกกระชับผิวในจุดต่างๆ เช่น มุมปากหรือแก้ม ช่วยปรับลุคให้ดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้นฟิลเลอร์จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์แบบเป็นธรรมชาติ และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการเติมเต็ม ปรับสมดุล หรือคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แนะนำฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ได้แก่ e.p.t.q, Revolax, Restylane, และ Definisse แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในบริเวณต่างๆ ดังนี้

ยี่ห้อฟิลเลอร์

จุดเด่น การใช้งานที่เหมาะสม
e.p.t.q เนื้อเจลนิ่ม เกลี่ยง่าย สลายได้เองภายใน 12 เดือน ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก
Revolax เนื้อเจลยืดหยุ่นสูง อยู่ได้นานถึง 18 เดือน เติมคาง สันจมูก ปรับรูปหน้า
Restylane มี Hyaluronic Acid คุณภาพสูง ผ่านการรับรองจาก FDA ร่องแก้ม ริ้วรอยรอบดวงตา
Definisse เนื้อเจลหนาแน่น เหมาะสำหรับการยกกระชับ คาง โหนกแก้ม กรอบหน้า

ความปลอดภัยและการรับรองมาตรฐาน

ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมล้วนผ่านการรับรองจากองค์กรด้านความปลอดภัย เช่น FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) และ CE (มาตรฐานความปลอดภัยยุโรป) จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยและมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับจุดที่ฉีดช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง

คำแนะนำในการเลือกฟิลเลอร์

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหาและเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ การเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำหัตถการฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  1. งดอาหารเสริมและยาบางประเภท ควรงดรับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามิน E น้ำมันปลา หรือยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เนื่องจากอาหารเสริมและยาบางประเภทอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยฟกช้ำและเลือดออกง่ายหลังหัตถการ
  2. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ งดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมและรอยช้ำหลังฉีด
  3. ปกป้องผิวจากแสงแดด หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง โดยเฉพาะบริเวณที่คุณตั้งใจจะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการหัตถการ
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังการฉีด ควรหลีกเลี่ยงการอดนอนหรือทำกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าก่อนวันหัตถการ
  5. เตรียมข้อมูลและปรึกษาแพทย์ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่คุณสนใจ รวมถึงบริเวณที่ต้องการฉีด และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสม การพูดคุยกับแพทย์จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน

ขั้นตอนการฉีด

  1. ทำความสะอาดใบหน้าในจุดที่ฉีด เพื่อความสะอาด และปลอดภัย
  2. แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยลดความเจ็บจากเข็ม
  3. ฉีดฟิลเลอร์ตามจุดที่ได้วางแผนไว้ โดยอาจใช้เทคนิคพิเศษเพื่อกระจายสารให้เรียบเนียน
  4. หมอแนะนำวิธีดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็ว และอยู่ได้นานขึ้น
  5. หลังฉีดฟิลเลอร์มีการนัดติดตามผลหลังทำทุกเคส

ความสำคัญของการเตรียมตัว

การเตรียมตัวที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวมช้ำ และช่วยให้ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ออกมาสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว

ฟิลเลอร์

อาการหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่อาจเกิดขึ้นได้

หลังการฉีดฟิลเลอร์ ผู้รับบริการอาจพบอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการฉีด โดยอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายในเวลาไม่นาน โดยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน อาจเกิดผื่นแดงหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์

อาการทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น

  • มีรอยแดง บริเวณที่ฉีดอาจมีรอยแดงเล็กน้อย เนื่องจากการแทงเข็ม
  • มีการบวมเล็กน้อย เป็นอาการปกติที่เกิดจากการฉีดสารเข้าสู่ผิว อาการบวมนี้มักจะลดลงใน 24-48 ชั่วโมง
  • มีรอยช้ำ อาจเกิดจากการกระทบกระเทือนของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง แต่รอยช้ำจะค่อยๆ จางลงใน 1-2 สัปดาห์

คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดใน 24 ชั่วโมงแรก
  • หากอาการบวมหรือช้ำยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นที่ผิดปกติ เช่น ปวดมากผิดปกติ หรือมีรอยแดงที่ขยายตัว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้นและคงความสวยงามได้ยาวนาน ซึ่งควรที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบนวด หรือคลึงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อน (migration) ของฟิลเลอร์ไปจากบริเวณที่ฉีดได้ แนะนำดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้วหรือ 2 ลิตร/วัน โดยเฉพาะช่วง 4 – 5 วันแรก การดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • งดการกดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์และลดการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า อาบน้ำอุ่น หรือโดนแสงแดดจัดในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
  • งดออกกำลังกายหนัก การออกกำลังกายที่ใช้แรงมากอาจกระตุ้นให้เกิดการบวมมากขึ้น

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์คงตัวและทำงานได้ดีขึ้น เพราะฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้: ควรงดแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกและปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เช่นเดียวกับหัตถการอื่นๆ การฉีดฟิลเลอร์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  1. เติมเต็มร่องลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือขมับตอบ โดยไม่ต้องพักฟื้น
  2. เห็นผลทันที หลังฉีดสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ทันที และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟิลเลอร์บางประเภทช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว
  4. ปรับรูปหน้าได้หลากหลาย ใช้เสริมคาง เติมริมฝีปาก หรือปรับกรอบหน้าได้ตามความต้องการ

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์

  1. ผลลัพธ์ไม่ถาวร ฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปเองในระยะเวลา 6-12 เดือน ทำให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
  2. อาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง บวม หรือช้ำ ซึ่งมักหายเองภายใน 1-2 วัน
  3. ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากฉีดโดยผู้ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ

การพิจารณาข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฉีดที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ถ้าจะเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ?

การเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย เพื่อให้ได้บริการที่น่าเชื่อถือและตรงตามความต้องการ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญดังนี้

  • คลินิกได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • ใช้ฟิลเลอร์แท้ ผ่าน อย. มีการนำเข้าและเก็บรักษาในอุณหภูมิที่ถูกต้อง
  • แพทย์มีประสบการณ์ด้านปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ มีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง
  • มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง มีความน่าเชื่อถือ ไม่ตกแต่งรูปรีวิวที่เกินจริง

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์กับ TBL Clinic ดีจริงไหม ?

TBL Clinic ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการฉีดฟิลเลอร์ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง พร้อมเทคนิคเฉพาะที่ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย การให้คำปรึกษาแบบส่วนตัวช่วยให้ผู้รับบริการได้รับการวิเคราะห์ปัญหาและแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล อีกทั้งคลินิกยังใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากอย.

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริงยืนยันถึงความพึงพอใจในผลลัพธ์ เช่น การเติมร่องแก้มให้ดูอ่อนเยาว์ การปรับรูปหน้าให้สมดุล และการเติมริมฝีปากให้อวบอิ่ม ทุกขั้นตอนดำเนินการด้วยความใส่ใจในรายละเอียดและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด TBL Clinic จึงเป็นตัวเลือกที่มั่นใจได้สำหรับการฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์

บทสรุป

ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยคุณสมบัติในการเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และเสริมความอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Temporary Filler, Semi Permanent Filler และ Permanent Filler แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและเหมาะสมกับจุดฉีดที่แตกต่างกัน เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก และคาง ทั้งนี้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาของแต่ละบุคคล

ข้อดีของฟิลเลอร์คือ เห็นผลทันทีโดยไม่ต้องผ่าตัด และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ ขณะที่ข้อเสียคือ ผลลัพธ์ไม่ถาวรและต้องฉีดซ้ำทุก 6-12 เดือน การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงและได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและน่าพึงพอใจมากที่สุด


คำถามที่พบบ่อย

  1. การฉีดฟิลเลอร์คืออะไร
    การฉีดฟิลเลอร์คือการเติมเต็มสารเข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวเพื่อแก้ไขร่องลึก ปรับรูปหน้า และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด
  2. ไหมฟิลเลอร์คืออะไร
    ไหมฟิลเลอร์หมายถึงกระบวนการที่ใช้ไหมหรือวัสดุพิเศษร่วมกับฟิลเลอร์เพื่อยกกระชับและเติมเต็มผิวในจุดต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท
    ฟิลเลอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Temporary Filler (ชั่วคราว), Semi-Permanent Filler (กึ่งถาวร), และ Permanent Filler (ถาวร)
  4. ฟิลเลอร์แปลว่าอะไร
    ฟิลเลอร์ (Filler) หมายถึงสารเติมเต็มที่ใช้ในทางการแพทย์หรือความงามเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงรูปลักษณ์
  5. ฉีดฟิลเลอร์มีข้อเสียอะไรบ้าง
    ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คือผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 6-12 เดือน และอาจเกิดอาการบวม ช้ำ หรือผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังฉีด

สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทีมแพทย์จาก To Beloved Clinic พร้อมให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ผ่านทาง Inbox Facebook หรือ Line Official : @TBLCLINIC ทางคลินิกได้โดยตรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ให้คำตอบด้วยตนเองครับ