ฟิลเลอร์คาง ถือว่าเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้สมส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางถอย หรือคางเบี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลใบหน้าให้ดูเรียวยาวและมีมิติ การเลือกฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองและการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงาม อ่านบทความต่อเพื่อรู้เรื่องราวที่ควรทราบก่อนฉีดฟิลเลอร์คางครับ
ฟิลเลอร์คาง คืออะไร ?
ฟิลเลอร์คาง คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและสามารถเติมเต็มเนื้อเยื่อในชั้นผิวได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในด้านการเสริมความงาม เพราะช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น คางตัด คางถอย หรือคางไม่สมดุล อีกทั้งยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวและสมส่วนมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
การเลือกฉีดฟิลเลอร์คางเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าให้มีมิติโดยไม่ต้องการพักฟื้นนาน ผลลัพธ์จากการฉีดสามารถเห็นได้ทันที และสามารถปรับแต่งทรงคางให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้ ฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่ผ่านการรับรองความปลอดภัยและสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติในระยะเวลาที่กำหนด
ฉีดฟิลเลอร์คาง ดีไหม ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์คางถือเป็นทางเลือกยอดนิยมในการปรับโครงหน้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับลักษณะคาง เช่น คางสั้น คางถอย คางตัด หรือคางไม่สมมาตร ฟิลเลอร์คางช่วยแก้ไขและเติมเต็มส่วนที่ขาดของโครงสร้างใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นเป็นเวลานาน
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ปรับรูปหน้าให้สมส่วน
สำหรับผู้ที่มีใบหน้ากลม หรือใบหน้าที่ดูสั้น การฉีดฟิลเลอร์คางช่วยเพิ่มความยาวของใบหน้าให้สมดุลมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเรียวและมีมิติ - แก้ไขคางที่มีปัญหา
ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มคางที่มีปัญหา เช่น คางเบี้ยว คางถอย หรือคางที่ไม่สมดุลให้ดูสมส่วนได้โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม - เห็นผลทันที
หลังฉีดฟิลเลอร์คางจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลาฟื้นตัว - เพิ่มความมั่นใจ
การปรับคางให้ได้สัดส่วนที่สวยงามช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับบุคคล ทั้งในการถ่ายรูปและการเข้าสังคม
ฟิลเลอร์คางช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของคาง เช่น การเสริมให้คางดูยาวขึ้น เติมเต็มรอยเว้าหรือความไม่สมดุล รวมถึงช่วยปรับโครงหน้าให้ดูละมุนและเหมาะสมกับลักษณะของแต่ละบุคคล การฉีดฟิลเลอร์คางยังสามารถแก้ปัญหาเฉพาะบุคคล เช่น คางที่มีลักษณะตัดหรือถอยที่ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล
ฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร ?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการเสริมความงามที่ช่วยปรับรูปทรงคางให้ดูสมส่วนและเสริมโครงหน้าที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์คางอาจเหมาะสมหรือไม่เหมาะกับบางบุคคล ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาและความต้องการของแต่ละคน ดังนี้
ฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีคางสั้นหรือคางถอย สำหรับผู้ที่คางสั้นหรือคางถอย การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดและปรับคางให้ยาวหรือสมดุลกับใบหน้ามากขึ้น
- ผู้ที่มีคางตัดหรือคางไม่สมมาตร ฟิลเลอร์ช่วยแก้ไขคางที่มีความไม่สมดุลหรือมีรอยตัด ให้คางดูเรียวและสมส่วนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปทรงคางแบบไม่ถาวร หรือไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลรวดเร็ว ฟิลเลอร์ช่วยปรับรูปทรงคางได้ทันทีหลังฉีด โดยไม่ต้องรอเวลาฟื้นตัวนาน
ฉีดฟิลเลอร์คาง ไม่เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างคางผิดปกติรุนแรง หากโครงสร้างกระดูกมีปัญหา เช่น กระดูกคางเบี้ยวผิดรูป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการผ่าตัดแก้ไขแทน
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารเติมเต็ม หากมีประวัติแพ้สารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือสารอื่นที่ใช้ในฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการฉีด
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หรือการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ถาวร ฟิลเลอร์เป็นการปรับแก้แบบชั่วคราว หากต้องการผลลัพธ์ถาวร อาจพิจารณาวิธีอื่น เช่น การเสริมคางด้วยซิลิโคน
ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมสูง และโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ความปลอดภัยนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การเลือกคลินิก ฟิลเลอร์ที่ใช้ และเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม
ปัจจัยที่ลดความเสี่ยง ฟิลเลอร์ที่ใช้ควรเป็นชนิดไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งได้รับการรับรองจาก อย. เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น การอุดตันของเส้นเลือดหรือการกระจายตัวของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น อาการบวมแดงหรือรอยช้ำเล็กน้อย จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดปัญหาร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ หรือการอุดตันของเส้นเลือด
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรอง และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำหัตถการ การฉีดฟิลเลอร์คางจึงจะปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดครับ
ฟิลเลอร์คาง มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร ?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีเสริมความงามที่ช่วยปรับรูปคางและแก้ไขปัญหาคางที่ไม่สมดุลโดยไม่ต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับหัตถการทางการแพทย์อื่น ๆ การฉีดฟิลเลอร์คางมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ปรับรูปคางได้ทันที
ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด หรือคางไม่สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลลัพธ์สามารถเห็นได้ทันทีหลังทำ - ไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์คางใช้เวลาเพียง 30-60 นาที และไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ - ปรับเปลี่ยนทรงได้ง่าย
หากไม่พอใจกับผลลัพธ์ ฟิลเลอร์ที่เป็นสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) สามารถสลายด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ได้อย่างปลอดภัย - เสริมความสมดุลให้ใบหน้า
ช่วยปรับสมดุลระหว่างคาง โหนกแก้ม และจมูก ทำให้ใบหน้าดูเรียวและมีมิติยิ่งขึ้น
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร
ฟิลเลอร์คางมีระยะเวลาคงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์และการดูแลรักษา - ผลข้างเคียงชั่วคราว
อาจเกิดอาการบวมแดง รอยช้ำ หรือความรู้สึกตึงบริเวณคาง ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ - ความเสี่ยงจากการฉีดผิดวิธี
หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดปัญหา เช่น ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดการอุดตันของเส้นเลือด - ต้องพิจารณาแพทย์และคลินิกอย่างรอบคอบ
การเลือกสถานที่และแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้
สรุป การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ควรพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ รวมถึงเลือกแพทย์และคลินิกที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงกับความต้องการครับ
ฟิลเลอร์คาง vs เสริมคาง ? เลือกแบบไหนดีกว่ากัน ?
เมื่อพูดถึงการปรับรูปคางเพื่อเสริมความสมดุลของใบหน้า หลายคนอาจลังเลระหว่างการฉีดฟิลเลอร์คางและการเสริมคางด้วยการผ่าตัด ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพคางของแต่ละบุคคล เรามาดูความแตกต่างเพื่อการตัดสินใจของทุกท่านกันครับ
หัวข้อ | ฟิลเลอร์คาง | เสริมคาง (ผ่าตัด) |
ลักษณะการทำ | ฉีดสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อเติมเต็มและปรับรูปทรงคาง | ผ่าตัดใส่วัสดุเสริม เช่น ซิลิโคน เพื่อปรับโครงสร้างคาง |
ผลลัพธ์ | เห็นผลทันทีหลังฉีด | ให้ผลลัพธ์ถาวรหลังการผ่าตัด |
ระยะเวลาที่คงอยู่ | 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ | ถาวร แต่ซิลิโคนอาจต้องเปลี่ยนหรือปรับแต่งในระยะยาว |
การพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที | ต้องพักฟื้น 5-7 วัน หรือมากกว่านั้นในบางกรณี |
เหมาะสำหรับใคร | – ผู้ที่ต้องการปรับทรงคางเล็กน้อย
– ผู้ที่มีคางตัด คางสั้น หรือคางไม่สมดุล |
– ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างคางถาวร
– ผู้ที่มีปัญหาคางถอยหรือคางเบี้ยวมาก |
ข้อดี | – ไม่มีแผลผ่าตัด
– แก้ไขหรือสลายได้ง่าย – ไม่มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด |
– ปรับโครงสร้างได้ชัดเจนและถาวร
– เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาว |
ข้อเสีย | – ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำ
– มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในระยะยาว |
– มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ
– มีแผลผ่าตัดและต้องพักฟื้น |
ค่าใช้จ่าย | ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อครั้ง | เริ่มต้นที่ประมาณ 30,000-50,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุและเทคนิค |
ควรเลือกแบบไหนดี? หากคุณต้องการปรับทรงคางเล็กน้อย หรือยังไม่แน่ใจว่าต้องการรูปคางแบบถาวร การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะไม่ต้องผ่าตัดและสามารถปรับแต่งได้ง่าย แต่หากคุณต้องการปรับโครงสร้างคางในระดับลึกและต้องการผลลัพธ์ถาวร การเสริมคางด้วยการผ่าตัดจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพคางและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณครับ
ฟิลเลอร์คางต้องฉีดใช้กี่ cc แล้วเห็นผลทันทีไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีการปรับรูปทรงคางที่สามารถออกแบบให้เหมาะสมกับใบหน้าแต่ละบุคคล โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้มักอยู่ระหว่าง 1-2 CC ขึ้นอยู่กับลักษณะคางเดิมของคนไข้ และผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น การเติมความยาวของคาง แก้ไขคางตัด หรือปรับความสมดุลให้ใบหน้าดูเรียวยาวมากขึ้น ผลลัพธ์หลังฉีดจะเห็นได้ทันที แต่ฟิลเลอร์อาจยังไม่เซ็ตตัวเต็มที่ในช่วงแรก โดยในระยะเวลา 3-7 วัน อาการบวมเล็กน้อยจากการฉีดจะลดลง และคางจะเข้าที่อย่างสมบูรณ์ใน 1-2 สัปดาห์
ฟิลเลอร์คางอยู่ได้กี่เดือน ?
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยระยะเวลาที่ฟิลเลอร์คางจะคงอยู่ขึ้นอยู่กับประเภทและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ที่มีส่วนผสมของ ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) จะมีระยะเวลาอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนสำหรับบางรุ่นที่มีคุณสมบัติในการคงตัวที่ดี เช่น Juvederm หรือ Restylane อาจอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวของใบหน้า อัตราการสลายตัวของฟิลเลอร์ในร่างกาย และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลต่อฟิลเลอร์ เช่น การสัมผัสความร้อนสูง
Filler คาง บวมกี่วัน ช้ำไหม ?
หลังการฉีดฟิลเลอร์คาง อาการบวมและรอยช้ำเป็นสิ่งที่อาจพบได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย อาการบวมมักจะเห็นชัดเจนในช่วง 1-3 วันแรก และจะค่อย ๆ ลดลงจนเป็นปกติภายใน 5-7 วัน สำหรับบางรายที่มีผิวบอบบางหรือมีการตอบสนองไว อาการบวมอาจคงอยู่ได้นานถึง 10 วัน ส่วนอาการช้ำเล็กน้อย บางครั้งอาจเกิดจากรอยเข็มบริเวณที่ฉีด แต่จะจางหายไปเองภายใน 7-10 วัน อย่างไรก็ตาม การดูแลหลังการฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณคาง การประคบเย็นใน 24 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงความร้อนสูง จะช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้รวดเร็วขึ้น หากอาการบวมแดงรุนแรงหรือไม่ลดลงภายในเวลาที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติมครับ
ฉีดฟิลเลอร์คาง ยี่ห้อไหนดี ?
การเลือกฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ และปลอดภัย ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ในคลินิกมาตรฐาน มักเป็นฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเติมเต็มและปรับรูปทรง โดยแนะนำยี่ห้อที่ได้รับความนิยมพร้อมคุณสมบัติดังนี้
- Juvederm Voluma ฟิลเลอร์จากสหรัฐฯ ที่มีเนื้อแน่นและอยู่ได้นานถึง 18 เดือน เหมาะสำหรับการปรับคางให้ดูยาวและได้รูปทรงชัดเจน
- Restylane Lyft ฟิลเลอร์จากสวีเดน มีความหนาแน่นสูง ช่วยเติมเต็มคางให้ดูเรียบเนียนและยกกระชับ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Belotero Intense ฟิลเลอร์จากเยอรมนี เนื้อสัมผัสละเอียด ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการปรับรูปคางให้เนียนเรียบและสม่ำเสมอ
- Neuramis Deep ฟิลเลอร์จากเกาหลี มีคุณสมบัติในการกระจายตัวดี ราคาเหมาะสม ช่วยปรับคางให้ดูสวยชัดและสมดุลกับใบหน้า
- E.P.T.Q. S500 ฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากเกาหลี เนื้อแน่นและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการสร้างมิติที่ชัดเจนในบริเวณคาง
- Revolax Sub-Q ฟิลเลอร์จากเกาหลีที่มีเนื้อสัมผัสแน่นพิเศษ เหมาะสำหรับการปรับรูปทรงคางที่ต้องการความชัดเจนและอยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Definisse Filler ฟิลเลอร์จากอิตาลี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้คางดูยกกระชับและเรียบเนียน ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 18 เดือน
ฟิลเลอร์คาง ราคาเท่าไหร่ ?
การฉีดฟิลเลอร์คางมีราคาที่แตกต่างกันไปตามประเภทของฟิลเลอร์ที่ใช้ ยี่ห้อ ความเข้มข้นของสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) และปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ โดยทั่วไป ราคาจะเริ่มต้นที่ 6,000-15,000 บาทต่อซีซี สำหรับฟิลเลอร์คุณภาพสูงจากแบรนด์ที่ผ่านการรับรอง เช่น Juvederm, Restylane หรือ Belotero ราคาจะอยู่ในช่วงที่สูงขึ้น แต่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ที่คาง
- งดยากลุ่ม NSAIDs และวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาละลายลิ่มเลือด รวมถึงวิตามินบางชนิด อย่างน้อย 3-7 วันก่อนเข้ารับบริการ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการทำหัตถการ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยงของอาการบวม
- งดกิจกรรมที่เพิ่มการไหลเวียนเลือด หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ซาวน่า การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น หรือการสัมผัสความร้อนโดยตรง ในช่วง 1 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์
- แจ้งประวัติสุขภาพแก่แพทย์ หากมีโรคประจำตัว อาการผิดปกติ หรือปัญหาผิวหนังอักเสบในบริเวณที่จะฉีด ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อการประเมินและวางแผนการรักษาอย่างปลอดภัย
ขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์คางที่แพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงการจับหรือกดคาง ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก ห้ามจับ กด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนตัวและเสียรูปทรง
- งดออกกำลังกายหนักและสัมผัสความร้อน หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การซาวน่า หรือการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นในช่วง 1-2 วันแรก เพราะอาจกระตุ้นการบวมและลดอายุฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในช่วง 24-48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอักเสบและช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดี
- งดอาหารรสจัดและเคี้ยวอาหารแข็ง หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดจัด อาหารเค็ม หรืออาหารที่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนบริเวณคาง
- ติดตามอาการและปรึกษาแพทย์ หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงรุนแรง เจ็บปวด หรือรู้สึกเป็นก้อนแข็ง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการฉีดฟิลเลอร์คาง
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการที่ปลอดภัยเมื่อดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่เช่นเดียวกับหัตถการอื่นๆ อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและผลข้างเคียงที่ต้องพบแพทย์ทันที
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป
- อาการบวมและแดง บริเวณคางอาจมีอาการบวมแดงในช่วง 1-3 วันแรก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย
- รอยช้ำหรือรอยเข็ม อาจเกิดรอยเข็มหรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด แต่จะค่อย ๆ จางหายภายใน 5-7 วัน
- ความรู้สึกไม่สม่ำเสมอในคาง ในช่วงแรก อาจรู้สึกว่าคางมีความไม่สม่ำเสมอ ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเรียบเนียนใน 1-2 สัปดาห์
ผลข้างเคียงที่ต้องพบแพทย์ทันที
- อาการปวดรุนแรงและบวมแดงผิดปกติ หากอาการบวมไม่ลดลงหรือเจ็บปวดมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- คางเปลี่ยนสีหรือซีดลง อาจเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งต้องรีบพบแพทย์เพื่อแก้ไข
- มีก้อนแข็งหรือผิดปกติ หากมีก้อนแข็งและไม่ลดลงในระยะเวลาอันควร ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ทำไมฉีดฟิลเลอร์คางแล้วยิ้มเป็นก้อน ดูไม่ธรรมชาติ ?
การฉีดฟิลเลอร์คางที่ทำให้เกิดอาการเป็นก้อนหรือดูไม่ธรรมชาติระหว่างยิ้ม อาจเกิดจากหลายปัจจัย โดยปัจจัยหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่
- การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากฟิลเลอร์ที่มีความหนืดสูงเกินไปหรือไม่มีความยืดหยุ่น อาจไม่สามารถปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคางได้ ส่งผลให้เมื่อยิ้ม คางดูเป็นก้อนและไม่สมูท
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดมากเกินไป การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น อาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอและเกิดความไม่สมดุลในบริเวณคาง
- เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม การฉีดฟิลเลอร์ในชั้นผิวที่ผิดระดับหรือการจัดวางตำแหน่งฟิลเลอร์ที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ฟิลเลอร์สะสมในบางจุดจนเกิดเป็นก้อน
แนวทางการแก้ไข
- หากฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) แพทย์สามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ส่วนเกินได้
- ในกรณีที่เกิดจากเทคนิคการฉีด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจประเมินและแก้ไขปัญหา
- เลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาตั้งแต่แรก
ฉีดสลายฟิลเลอร์คางได้ไหม ?
การฉีดสลายฟิลเลอร์คางสามารถทำได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) การฉีดเอนไซม์นี้จะช่วยสลายฟิลเลอร์ที่ไม่ต้องการหรือเกิดข้อผิดพลาดในการฉีด เช่น เป็นก้อน ดูไม่สมดุล หรือทำให้คางดูไม่เป็นธรรมชาติ ขั้นตอนนี้ควรดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าเอนไซม์ถูกฉีดในปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัย โดยแพทย์จะประเมินสภาพฟิลเลอร์และโครงหน้าก่อนทำการสลายครับ
หลังฉีดฟิลเลอร์คาง ทำหัตถการอื่นๆ ได้ไหม ?
หลังการฉีดฟิลเลอร์คาง คุณสามารถทำหัตถการอื่นๆ ได้ แต่ควรรอให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวและบริเวณคางฟื้นตัวก่อน โดยทั่วไป แนะนำให้เว้นระยะอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนเริ่มทำหัตถการอื่น เช่น เลเซอร์ ทรีตเมนต์ผิวหน้า หรือการฉีดสารเติมเต็มในบริเวณใกล้เคียง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์หรือการกระทบกระเทือนต่อผลลัพธ์ที่เพิ่งทำ สำหรับหัตถการที่มีความร้อนสูง เช่น เลเซอร์หรือการทำซาวน่า ควรรอให้แน่ใจว่าฟิลเลอร์เซ็ตตัวเต็มที่และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในบริเวณคาง ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำหัตถการอื่น เพื่อประเมินความเหมาะสมและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนครับ
เหตุผลที่คุณควรเลือกฉีดฟิลเลอร์คางที่ TBL Clinic
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เราให้บริการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะด้านการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เทคนิคที่แม่นยำและปลอดภัย พร้อมคำปรึกษาอย่างละเอียดเพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
- ผลิตภัณฑ์ของแท้และได้มาตรฐาน เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพจากทั้ง U.S. FDA, CE และ อย. ไทย (TH-FDA) ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย
- ฟิลเลอร์หลากหลายแบรนด์และรุ่น TBL Clinic มีฟิลเลอร์หลายแบรนด์และรุ่นให้เลือก เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะผิวและรูปหน้าของแต่ละบุคคล ไม่ว่าคุณจะมีความต้องการแบบใด เราพร้อมตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม
- การติดตามผลลัพธ์หลังการรักษา หลังฉีดฟิลเลอร์ เรามีการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับการดูแลที่ดีและมีความพึงพอใจในผลลัพธ์สูงสุด