โบท็อก (Botox) เป็นหนึ่งในหัตถการด้านความงามที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า และแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อให้ดูเรียบเนียนขึ้น โบท็อกทำงานโดยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว จึงช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้น นอกจากเรื่องความงามแล้ว ยังมีประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น รักษาภาวะเหงื่อออกมากเกินไป และลดอาการปวดจากกล้ามเนื้อตึง ในบทความนี้ หมอจะอธิบายทุกเรื่องเกี่ยวกับโบท็อก ตั้งแต่วิธีการทำงาน ไปจนถึงข้อควรรู้ก่อนฉีด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจครับ
โบท็อก คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) คือชื่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxin Type A ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวหนัง โบท็อกจะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ส่งผลให้ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดลง และทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์ขึ้น
ในปัจจุบัน โบท็อกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการ ปรับรูปหน้า เช่น ลดขนาดกรามให้หน้าเรียว ลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา และรอยย่นระหว่างคิ้ว นอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น รักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ ลดอาการปวดไมเกรน และคลายกล้ามเนื้อเกร็งที่เกิดจากภาวะทางระบบประสาท เหตุผลที่โบท็อกเป็นที่นิยมในวงการความงาม เพราะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับปัญหาเฉพาะบุคคล
ฉีดโบท็อกดีไหม ?
การฉีดโบท็อกเป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่ต้องพักฟื้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ
ข้อดีของการฉีดโบท็อก
- ลดริ้วรอย บริเวณหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้ว และมุมปาก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ปรับรูปหน้า เช่น ลดขนาดกรามให้หน้าเรียว ลดน่อง และลดเหงื่อออกมากผิดปกติ
- เห็นผลเร็ว ปกติผลลัพธ์จะเริ่มชัดเจนใน 3-7 วัน และอยู่ได้นาน 3-6 เดือน
- เป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้โบท็อกแท้ที่ได้รับการรับรอง
ข้อเสียของการฉีดโบท็อก
- ต้องฉีดซ้ำ เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ถาวร หากต้องการรักษาผลลัพธ์ต้องฉีดต่อเนื่อง
- อาจเกิดผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงหากฉีดผิดตำแหน่ง
- เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากใช้โบท็อกปลอมหรือฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
โบท็อกเหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยโดยไม่ต้องศัลยกรรม
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ผู้ที่มีอาการเหงื่อออกมาก หรือปวดศีรษะจากไมเกรนที่สามารถรักษาด้วยโบท็อก
โบท็อก ทํางานอย่างไร ?
โบท็อก (Botulinum Toxin Type A) เป็นสารที่นำมาใช้ในวงการความงามและเวชศาสตร์เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้า หลักการทำงานของโบท็อกซ์คือการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ซึ่งช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่
เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่บริเวณที่ต้องการ เช่น บริเวณหน้าผาก หางตา หรือกราม ตัวยาจะจับกับปลายประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ และทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถปล่อยสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ออกมาได้ ซึ่งสารนี้เป็นตัวกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว เมื่อสารสื่อประสาทถูกยับยั้ง กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดจึงเข้าสู่ภาวะคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยลดลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
ผลลัพธ์ของโบท็อกต่อกล้ามเนื้อ
- ลดริ้วรอย บริเวณที่มีการขยับของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา หรือร่องระหว่างคิ้ว
- ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพราะกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลายจะทำให้ผิวตึงขึ้นและริ้วรอยลดลง
- ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ช่วยให้ใบหน้าเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ป้องกันริ้วรอยใหม่ เพราะเมื่อกล้ามเนื้อไม่ขยับมากเกินไป ผิวบริเวณนั้นก็จะไม่เกิดรอยพับซ้ำ ๆ
โบท็อกออกฤทธิ์นานแค่ไหน
หลังฉีดโบท็อกซ์ จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน และผลลัพธ์สูงสุดจะชัดเจนในช่วง 2 สัปดาห์ โดยทั่วไป ผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ ทำให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
โบท็อก ฉีดตรงไหน ช่วยอะไรได้บ้าง ?
โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin Type A) เป็นสารที่ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อและต่อมเหงื่อ จึงสามารถใช้ในหลายบริเวณของร่างกายเพื่อแก้ปัญหาด้านความงามและสุขภาพ โดยแต่ละจุดที่ฉีดมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
บริเวณใบหน้า
- หน้าผากและรอยขมวดคิ้ว ลดริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- หางตาและรอยตีนกา ลดริ้วรอยบริเวณหางตา ทำให้ดวงตาดูสดใส อ่อนเยาว์
- ร่องแก้ม ลดริ้วรอยและทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น
- กราม (V-Shape Jawline Botox) ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามเพื่อให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ลิฟกรอบหน้า (Masseter & Platysma Botox) ช่วยยกกระชับกรอบหน้า ลดเหนียง และปรับสัดส่วนใบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
- ปีกจมูก ลดการบานของจมูกเมื่อยิ้มหรือพูด ทำให้จมูกดูเล็กลงโดยไม่ต้องศัลยกรรม
- รูขุมขนและความมันบนใบหน้า (Meso Botox) ควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ลดความมันบนใบหน้า ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
บริเวณร่างกาย
- รักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ช่วยแก้ปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ
- น่องและต้นแขน ลดขนาดกล้ามเนื้อให้ดูเรียวเล็กขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างโดยไม่ต้องผ่าตัด
ด้านสุขภาพ
- ไมเกรน บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรนโดยการลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- Office Syndrome คลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ เพื่อลดอาการปวดจากการทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
ฉีดโบท็อกซ์แต่ละตำแหน่งควรใช้ปริมาณเท่าไหร่ ?
ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ในแต่ละบริเวณขึ้นอยู่กับลักษณะกล้ามเนื้อและความต้องการของแต่ละบุคคล การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย โดยปริมาณที่แนะนำในแต่ละจุดมีดังนี้
ใบหน้า
- หน้าผาก 8-20 ยูนิต ลดริ้วรอยจากการขยับคิ้ว
- รอยขมวดคิ้ว (Glabellar Lines) 10-25 ยูนิต ลดรอยย่นระหว่างคิ้ว
- หางตา (Crow’s Feet) 6-15 ยูนิต ลดรอยตีนกา
- ร่องแก้ม 8-16 ยูนิต ลดริ้วรอยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
- กราม (V-Shape Jawline Botox) 40-80 ยูนิต ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามเพื่อปรับหน้าเรียว
- ปีกจมูก 4-8 ยูนิต ลดการบานของปีกจมูก
ร่างกาย
- รักแร้ (ลดเหงื่อ) 50-100 ยูนิต ลดการทำงานของต่อมเหงื่อ
- น่อง 50-100 ยูนิต ลดขนาดกล้ามเนื้อให้ดูเรียวขึ้น
- Office Syndrome (คอ บ่า ไหล่) 50-100 ยูนิต คลายกล้ามเนื้อลดอาการปวด
การใช้ปริมาณที่เหมาะสมและฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากการใช้โบท็อกซ์มากเกินไปครับ
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม? ฉีดโบท็อกอย่างปลอดภัยควรรู้อะไรบ้าง ?
การฉีดโบท็อกซ์ถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากใช้โบท็อกซ์ของแท้และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาการแพ้
วิธีฉีดโบท็อกซ์ให้ปลอดภัย
- ตรวจสอบ คลินิกและแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาต มีประสบการณ์และเข้าใจโครงสร้างกล้ามเนื้อ
- ใช้ โบท็อกซ์แท้ที่ผ่าน อย. ควรตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ ซีล และหมายเลขล็อต
- เลี่ยงการฉีด ปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อแข็งตึงหรือไม่เป็นธรรมชาติ
- หลีกเลี่ยง คลินิกราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจใช้โบท็อกซ์ปลอมที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
ฉีดโบท็อก ยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน ?
โบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ โดยแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการออกฤทธิ์ คุณสมบัติพิเศษ หรือความเหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งตอนนี้มี 10 ยี่ห้อโบท็อกซ์ผ่านอย.ไทย (อัปเดตปี 2025) โดยทาง TBL Clinic จะมีให้แบรนด์ดังนี้
- Allergan (อัลเลอร์แกน) โบท็อกซ์ระดับพรีเมียมจาก สหรัฐอเมริกา ผ่าน อย.ไทย มีโมเลกุลที่บริสุทธิ์ ออกฤทธิ์นุ่มนวลเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 4-6 เดือน เหมาะกับฉีดริ้วรอยทั่วใบหน้าและลดกราม
- Dysport (ดิสพอร์ต) นำเข้าจาก อังกฤษ มีโมเลกุลเล็กกระจายตัวได้ดี เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อ เช่น กราม น่อง อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
- Xeomin (ซีโอมิน) โบท็อกซ์จาก เยอรมนี มีจุดเด่นที่ไม่มีโปรตีนเจือปน ลดโอกาสดื้อยา เหมาะสำหรับฉีดลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา กรอบหน้า อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
- Nabota (นาโบตะ) โบท็อกซ์จาก เกาหลีใต้ ที่ผ่าน อย.ไทย มีความบริสุทธิ์สูง กระจายตัวดี ออกฤทธิ์ไว เหมาะกับการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า อยู่ได้นาน 4-5 เดือน
- Aestox (เอสท็อกซ์) โบท็อกซ์จาก เกาหลีใต้ คุณภาพสูง ลดโอกาสดื้อยา ออกฤทธิ์ได้ดีในบริเวณริ้วรอยทั่วหน้า อยู่ได้นาน 4-5 เดือน
เตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดโบท็อกซ์
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยทั่วไปมีข้อแนะนำหลักที่ควรปฏิบัติดังนี้
- งดยาและอาหารเสริมบางประเภท ควรงดยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน รวมถึงอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม และกระเทียม อย่างน้อย 3-7 วันก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
- งดแอลกอฮอล์และคาเฟอีน ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะอาจทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้เกิดอาการบวมและช้ำมากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เต็มที่ การดื่มน้ำและนอนหลับอย่างเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง
- ตรวจสอบคลินิกและแพทย์ที่ฉีด ควรเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรอง และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมตรวจสอบว่ายี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้ผ่านการรับรองจาก อย.
โบท็อกซ์ราคาแพงไหม ? แต่ละจุดราคาเท่าไหร่บ้าง ?
การฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ ปริมาณที่ใช้ และตำแหน่งที่ฉีด
- สำหรับโบท็อกซ์ยี่ห้อ Allergan จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง ราคาจะสูงกว่ายี่ห้ออื่น โดยขนาด 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 15,000 บาท
- โบท็อกซ์ยี่ห้อ Nabota จากเกาหลี ขนาด 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 7,000 บาท สำหรับการฉีดในตำแหน่งต่าง ๆ ราคาจะขึ้นอยู่กับปริมาณยูนิตที่ใช้ เช่น การฉีดลดกรามและปรับหน้าเรียว ใช้ประมาณ 50-100 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 6,999 บาท
- การฉีดลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ใช้ประมาณ 30 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3,000 บาท
- การฉีดลดริ้วรอยหางตา ใช้ประมาณ 25 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท
- การฉีดลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ใช้ประมาณ 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 7,500 บาท
โปรดทราบว่าราคาอาจแตกต่างกันไปตามคลินิกและโปรโมชั่นที่มีในแต่ละช่วงเวลา ควรทำการปรึกษาแพทย์หรือคลินิกที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ เพื่อจะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ครับ
ฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัยและเห็นผลคุ้มค่า ?
การฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดังนั้น การเลือกคลินิกที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
หลักการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
- ใบอนุญาตและการรับรอง คลินิกต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินการโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง
- ใช้โบท็อกซ์แท้ 100% ตรวจสอบว่ายี่ห้อที่ใช้ผ่าน อย. ไทย และมีหมายเลขล็อตที่สามารถตรวจสอบกับบริษัทผู้ผลิตได้
- ประสบการณ์ของแพทย์ แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญในการฉีดโบท็อกซ์ สามารถประเมินใบหน้าและกำหนดปริมาณยาได้อย่างเหมาะสม
- มาตรฐานการบริการ คลินิกต้องมีการให้คำปรึกษาก่อนฉีด มีการติดตามผลหลังฉีด และมีทีมแพทย์พร้อมดูแลหากเกิดภาวะแทรกซ้อน
- รีวิวจากผู้ใช้จริง ควรศึกษาผลลัพธ์จากรีวิวของลูกค้าจริง และดูภาพเปรียบเทียบก่อน-หลังฉีด
คำแนะนำ หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์กับผู้ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ หรือสถานพยาบาลที่มีราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจเสี่ยงต่อการใช้สารปลอม หรือเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แก้ไขได้ยาก