ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ใช้เพื่อปรับรูปหน้าและแก้ไขริ้วรอย แต่ในบางกรณี ร่างกายอาจเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟิลเลอร์ ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ อาการแพ้ฟิลเลอร์สามารถแสดงออกได้หลากหลาย ตั้งแต่การบวมแดง คัน ผิวหนังอักเสบ ไปจนถึงการเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง ซึ่งในบางกรณี อาจเกิดปฏิกิริยารุนแรง เช่น ภาวะแพ้เฉียบพลันที่ต้องได้รับการรักษาทันที ในบทความนี้ หมอจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจอาการแพ้ฟิลเลอร์ ลักษณะความอันตราย และวิธีดูแลเบื้องต้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรับมือได้อย่างเหมาะสมครับ
อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นยังไง ?
อาการแพ้ฟิลเลอร์เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไป โดยอาการอาจแตกต่างกันไปตามบุคคลและชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ อาการแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่
✅ อาการแพ้ทั่วไป
- ผื่นแดง หรือมีรอยแดงบริเวณที่ฉีด
- อาการบวมผิดปกติ อาจเกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีด
- คัน ระคายเคือง หรือรู้สึกไม่สบายที่ผิวหนัง
⚠️ อาการแพ้รุนแรงที่ต้องเฝ้าระวัง
- ผิวหนังอักเสบรุนแรง หรือมีตุ่มนูนผิดปกติ
- ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนแข็ง หรือเกิดพังผืด
- อาการแพ้แบบเฉียบพลัน (Anaphylaxis) เช่น หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่พบได้บ่อย
อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่พบได้บ่อยมักเป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นหลังการฉีด โดยส่วนใหญ่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อสารเติมเต็ม อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและสามารถหายไปได้เองภายในไม่กี่วัน
✅ อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่พบได้บ่อย
- รอยบวมแดง บริเวณที่ฉีด เนื่องจากร่างกายตอบสนองต่อสารแปลกปลอม
- รอยช้ำ เกิดจากเข็มฉีดกระทบเส้นเลือดฝอย มักจางหายใน 3-7 วัน
- อาการคันหรือระคายเคือง บางรายอาจมีอาการคันเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด
- ผื่นแพ้หรือผื่นคัน พบได้ในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีประวัติแพ้สาร Hyaluronic Acid
สาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้ฟิลเลอร์
การแพ้ฟิลเลอร์เป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อย แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยทั่วไปอาการแพ้เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารเติมเต็ม ซึ่งอาจมีสาเหตุดังนี้
- ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. อาจมีสารปนเปื้อนหรือส่วนประกอบที่ไม่บริสุทธิ์ ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดปกติ เช่น อาการบวมอักเสบหรือเป็นก้อนแข็ง
- เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม หากฉีดผิดชั้นผิวหรือฉีดในปริมาณที่มากเกินไป อาจกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำให้ฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวสม่ำเสมอและเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้
- ปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารเติมเต็ม แม้ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) จะมีความปลอดภัยสูง แต่บางรายอาจเกิดอาการแพ้ต่อสารกันเสียหรือสารช่วยคงตัวที่อยู่ในฟิลเลอร์ ทำให้เกิดผื่นแดงหรืออาการคันหลังฉีด
- ประวัติการแพ้สารเคมีบางชนิด ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประเภท Polysaccharides หรือมีภาวะภูมิแพ้รุนแรง อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำหัตถการ
ฟิลเลอร์อักเสบคืออะไร ?
ฟิลเลอร์อักเสบ (Filler-induced inflammation) เป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่อสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปในผิวหนัง โดยอาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อ หรือเทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม การอักเสบสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมงแรกหลังฉีด และ การอักเสบเรื้อรัง ที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
อาการและสาเหตุของการอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์
อาการของฟิลเลอร์อักเสบ
- บวม แดง ร้อน หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด
- กดแล้วรู้สึกปวดหรือเป็นก้อนแข็งใต้ผิว
- มีหนองหรือของเหลวผิดปกติออกจากบริเวณที่ฉีด
- ผิวเปลี่ยนสีคล้ำหรือซีดผิดปกติ
- อาการอักเสบลุกลามหรือไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน
สาเหตุของการอักเสบจากฟิลเลอร์
- การติดเชื้อแบคทีเรีย อาจเกิดจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดหรือการดูแลหลังฉีดที่ไม่เหมาะสม
- ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์ปลอมหรือสารเติมเต็มที่มีสิ่งปนเปื้อนอาจกระตุ้นการอักเสบของร่างกาย
- การฉีดผิดชั้นผิว หากฉีดฟิลเลอร์ลึกเกินไปหรือผิดตำแหน่ง อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้
- ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ร่างกายบางคนอาจตอบสนองต่อสารเติมเต็มด้วยการกระตุ้นเซลล์อักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการบวมและปวด
- การใช้ฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวรหรือถาวร เช่น PMMA หรือซิลิโคนเหลว ซึ่งมีโอกาสกระตุ้นให้เกิดพังผืดหรือการอักเสบเรื้อรัง
วิธีรักษาอาการอักเสบจากฟิลเลอร์
อาการอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารเติมเต็ม หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อและเทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม การดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยลดอาการบวมแดง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🩹 วิธีดูแลอาการอักเสบจากฟิลเลอร์
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและอักเสบ
- ใช้เจลเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีดประมาณ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้งใน 24 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงการประคบเย็นโดยตรงที่ผิว เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อได้รับความเสียหาย
- รับประทานยาแก้อักเสบตามคำแนะนำของแพทย์
- ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen หรือ Celecoxib สามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้
- ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน และ วิตามินอี
- ใช้ยาทาหรือยาปฏิชีวนะหากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Topical Antibiotics เช่น Mupirocin อาจใช้ในกรณีที่มีอาการติดเชื้อร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสและกดนวดบริเวณที่ฉีด
- ไม่ควรนวดหรือกดฟิลเลอร์โดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวหรือเพิ่มอาการอักเสบ
- ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ
- การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็น Hyaluronic Acid อุ้มน้ำได้ดีขึ้น ลดอาการอักเสบและฟื้นฟูผิวได้เร็วขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะจะทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น
หากอาการอักเสบไม่ดีขึ้นภายใน 3-7 วัน หรือมีอาการรุนแรง เช่น ปวดมาก ผิวซีดคล้ำ หรือมีหนอง ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมครับ
ฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับใคร ?
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับในทางการแพทย์ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าปกติ การพิจารณาความเหมาะสมก่อนการฉีดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
✅ กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็มหรือ Hyaluronic Acid (HA) แม้ว่าฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐานจะมีความปลอดภัยสูง แต่ในบางกรณีอาจเกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่นแพ้ บวมแดง หรือเกิดภาวะภูมิแพ้เฉียบพลัน (Anaphylaxis) ดังนั้นหากเคยแพ้ฟิลเลอร์มาก่อน ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชาหรือสารที่ใช้ผสมในฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์บางชนิดมีส่วนผสมของ Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาเฉพาะที่ หากผู้รับบริการมีประวัติแพ้ยาชา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกฟิลเลอร์ที่ไม่มีส่วนผสมดังกล่าว
- ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดหรือใช้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น ผู้ที่รับประทาน Warfarin, Aspirin หรือ Clopidogrel เป็นประจำ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ บวม หรือเลือดออกผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีด
- ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ หากมีสิวอักเสบ เริม หรือการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ ควรรักษาให้หายก่อน เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนและการอักเสบรุนแรง
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แม้ว่าฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าส่งผลต่อทารกในครรภ์ แต่ยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันถึงความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร แพทย์จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยง
- ผู้ที่มีโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) เช่น Lupus, Rheumatoid Arthritis, Sjögren’s Syndrome ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ อาจมีปฏิกิริยาต่อสารเติมเต็มในฟิลเลอร์ ทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นก้อนแข็งได้
- ผู้ที่มีประวัติเคยฉีดฟิลเลอร์ถาวรหรือสารเติมเต็มที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพอลิเมอร์ที่ไม่สามารถสลายได้เอง หากต้องการฉีดฟิลเลอร์ใหม่ ควรให้แพทย์ตรวจประเมินก่อน เพราะสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับฟิลเลอร์ตัวใหม่และส่งผลต่อโครงสร้างใบหน้า
กลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ในบางกลุ่มบุคคลอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติและควรหลีกเลี่ยงการฉีดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- ✅ ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อ หากมี สิวอักเสบ ผื่น ลมพิษ หรือแผลติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบและการติดเชื้อหลังฉีด
- ✅ ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่มีภาวะ เลือดออกไม่หยุด หรือมีปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำและเลือดออกใต้ผิวหนังมากกว่าปกติ
- ✅ ผู้ที่มีอาการแพ้สารบางชนิด หากมีประวัติ แพ้คอลลาเจน ไข่ สารลิโดเคน หรือแบคทีเรียที่ใช้ผลิตฟิลเลอร์ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
- ✅ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ข้อต่อ หรือเส้นเอ็น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์บริเวณมือ ควรได้รับการประเมินจากแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
วิธีรักษาและการดูแลหากแพ้ฟิลเลอร์ ควรทำอย่างไร ?
หากมีอาการแพ้ฟิลเลอร์ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตอาการและเข้ารับการดูแลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
วิธีดูแลเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์
- หยุดสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อ
- ประคบเย็น ในกรณีที่มีอาการบวมแดง เพื่อช่วยลดการอักเสบ
- รับประทานยาแก้แพ้ (Antihistamines) เช่น ลอราทาดีน (Loratadine) เพื่อลดอาการคันและผื่น
- ใช้ยาสเตียรอยด์ในบางกรณี เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) เพื่อลดอาการอักเสบ แต่ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
อาการแพ้ฟิลเลอร์แบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที
- มีอาการบวมรุนแรงร่วมกับหายใจลำบาก (อาจเป็นภาวะช็อกจากภูมิแพ้)
- มีผื่นแดงรุนแรง หรือเกิดการติดเชื้อ เช่น มีหนองหรือไข้สูง
- ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนผิดปกติ หรือเกิดอาการปวดรุนแรง
หากอาการแพ้รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้ เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย ดังนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมครับ